เด็กเสพสื่อ
เมื่อเนื้อหาที่สื่อส่งมายังคนดูต่างไปจากเดิม
ความรุนแรงที่ส่งมาผ่านเนื้อหาจากสื่อในหลายรูปแบบ
เราผู้อยู่ในฐานะผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว ย่อมรับสารนั้นมา
แล้วรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรกับสารนั้น เช่น ข่าวจิ้งจกสองหางที่เด่นหราอยู่ตรงหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่ง
เรารับรู้ และเข้าใจได้ว่าเราควรปล่อยผ่านข่าวนี้ไป เพราะข่าวประเภทนี้
ไม่ได้นำประโยชน์อันใดมาให้กับเรา
ทว่า
‘เด็ก’ ที่อยู่ในคนเสพสื่อนั้น จะสามารถแยกแยะอย่างผู้ใหญ่ได้หรือไม่
กรมสุขภาพจิต ร่วมกับสำนักวิจัยเอแบคโพลล์
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจ “สื่อโทรทัศน์กับการใช้ความรุนแรงในกลุ่มเยาวชน” จากกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 94.6 ระบุว่า เคยเห็นหรือดูโทรทัศน์ที่มีภาพการใช้ความรุนแรงผ่านละคร
การ์ตูน ภาพยนตร์ ภาพข่าวและโฆษณาบ่อยครั้ง
เมื่อสอบถามถึงความคิดเห็นต่อความเหมาะสมในการกระทำที่รุนแรงตอบโต้กลับคืนถ้าถูกรังแก
หรือถูกทำร้าย กลุ่มตัวอย่างเกินกว่าครึ่ง คือร้อยละ 52 เห็นสมควรตอบโต้กลับคืน
ขณะที่เด็กและเยาวชนที่เคยเห็นภาพความรุนแรงในโทรทัศน์บ่อยๆ นิยมใช้ความรุนแรง
ตอบโต้แก้แค้นผู้อื่นระดับมากถึงมากที่สุดสูงกว่าเด็กและเยาวชนที่ไม่เคยเห็นบ่อยหรือไม่เคยเห็นเลยร้อยละ
28.6 ต่อร้อยละ 19
นายสมชาย เจริญอำนวยสุข
ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุว่า สื่อมีอิทธิพลที่สุดที่จะสะท้อนได้ทั้งด้านดีและด้านลบในเรื่องของความรุนแรง
ดังนั้น บทบาทของสื่อไม่ใช่เพียงเป็นแค่กระจกสะท้อนสังคม
แต่ควรมีบทบาทเป็นสะพานถ่ายทอดความรู้ถึงผลกระทบของความรุนแรงที่เกิดขึ้น
และสื่อควรจะมีบทบาทให้ความรู้ด้วย สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือปัจจุบันรายการบางรายการเป็นเรื่องการส่งเสริมความรุนแรงไปซะเอง
เช่น การกระโดดตึก การที่เอาภาพเหตุการณ์จริงที่เด็กไล่ยิงกัน
มีเสียงหวีดร้องมาออกอากาศ จึงคิดว่าสื่อควรจะมีวิจารณญาณให้มากกว่านี้
คงไม่มีสื่อแขนงใดอยากให้ตนเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาร้ายแรงหรือส่งเสริมการใช้ความรุนแรงภายในสังคม
แต่หากสื่อถอยหลังพิจารณาการทำงานของตนสักนิด ก็คงได้ทบทวนหน้าที่ของตนว่า
ท้ายที่สุดแล้ว สื่อคือคนขายข่าวไปวันๆ หรือผู้ที่สร้างประโยชน์ให้แก่สังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น