วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

Chapter 6 : เด็กเสพสื่อ


เด็กเสพสื่อ


          เมื่อเนื้อหาที่สื่อส่งมายังคนดูต่างไปจากเดิม
          
          ความรุนแรงที่ส่งมาผ่านเนื้อหาจากสื่อในหลายรูปแบบ เราผู้อยู่ในฐานะผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว ย่อมรับสารนั้นมา แล้วรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรกับสารนั้น เช่น ข่าวจิ้งจกสองหางที่เด่นหราอยู่ตรงหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่ง เรารับรู้ และเข้าใจได้ว่าเราควรปล่อยผ่านข่าวนี้ไป เพราะข่าวประเภทนี้ ไม่ได้นำประโยชน์อันใดมาให้กับเรา
        
        ทว่า เด็ก ที่อยู่ในคนเสพสื่อนั้น จะสามารถแยกแยะอย่างผู้ใหญ่ได้หรือไม่

        กรมสุขภาพจิต ร่วมกับสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจ สื่อโทรทัศน์กับการใช้ความรุนแรงในกลุ่มเยาวชน จากกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 94.6 ระบุว่า เคยเห็นหรือดูโทรทัศน์ที่มีภาพการใช้ความรุนแรงผ่านละคร การ์ตูน ภาพยนตร์ ภาพข่าวและโฆษณาบ่อยครั้ง

         เมื่อสอบถามถึงความคิดเห็นต่อความเหมาะสมในการกระทำที่รุนแรงตอบโต้กลับคืนถ้าถูกรังแก หรือถูกทำร้าย กลุ่มตัวอย่างเกินกว่าครึ่ง คือร้อยละ 52 เห็นสมควรตอบโต้กลับคืน ขณะที่เด็กและเยาวชนที่เคยเห็นภาพความรุนแรงในโทรทัศน์บ่อยๆ นิยมใช้ความรุนแรง ตอบโต้แก้แค้นผู้อื่นระดับมากถึงมากที่สุดสูงกว่าเด็กและเยาวชนที่ไม่เคยเห็นบ่อยหรือไม่เคยเห็นเลยร้อยละ 28.6 ต่อร้อยละ 19

         นายสมชาย เจริญอำนวยสุข ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุว่า สื่อมีอิทธิพลที่สุดที่จะสะท้อนได้ทั้งด้านดีและด้านลบในเรื่องของความรุนแรง ดังนั้น บทบาทของสื่อไม่ใช่เพียงเป็นแค่กระจกสะท้อนสังคม แต่ควรมีบทบาทเป็นสะพานถ่ายทอดความรู้ถึงผลกระทบของความรุนแรงที่เกิดขึ้น และสื่อควรจะมีบทบาทให้ความรู้ด้วย สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือปัจจุบันรายการบางรายการเป็นเรื่องการส่งเสริมความรุนแรงไปซะเอง เช่น การกระโดดตึก การที่เอาภาพเหตุการณ์จริงที่เด็กไล่ยิงกัน มีเสียงหวีดร้องมาออกอากาศ จึงคิดว่าสื่อควรจะมีวิจารณญาณให้มากกว่านี้

         คงไม่มีสื่อแขนงใดอยากให้ตนเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาร้ายแรงหรือส่งเสริมการใช้ความรุนแรงภายในสังคม แต่หากสื่อถอยหลังพิจารณาการทำงานของตนสักนิด ก็คงได้ทบทวนหน้าที่ของตนว่า ท้ายที่สุดแล้ว สื่อคือคนขายข่าวไปวันๆ หรือผู้ที่สร้างประโยชน์ให้แก่สังคม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น