ว่ากันว่าเรื่องของการเมืองกับเศรษฐกิจเป็นของคู่กัน
ตัวอย่างประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์
จะมีระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม การผลิตสินค้าในระบบนี้จะขึ้นอยู่กับรัฐบาลซึ่งเป็นผู้กำหนดว่าควรผลิตเท่าไหร่
โดยไม่มีกลไกตลาดเข้ามาเกี่ยวข้อง
ความสัมพันธ์ของเศรษฐกิจและการเมืองเป็นตัวบ่งบอกความมั่นคงของประเทศอย่างหนึ่ง
เพราะถ้าการเมืองดี เศรษฐกิจก็ดีไปด้วย
อย่างกรณีของบ้านเราในตอนที่มีการประกาศกฎอัยการศึก
เศรษฐกิจมีการหดตัว 0.6% โดยสาเหตุหลักมาจากการลงทุนที่หดตัวถึง
9.8% และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ลดลงถึง
3%
ยิ่งในช่วงที่เกิดม๊อบการเมืองมากๆ
รายได้จากการท่องเที่ยวก็ต่ำลง
ต่างชาติไม่กล้าเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพราะความวุ่นวายไม่สงบในประเทศรวมถึงนักลงทุนต่างชาติเองก็ไม่กล้าเข้ามาลงทุนในบ้านเรา
การท่องเที่ยวไม่ดีเช่นนี้พ่อค้าแม่ค้าก็พาลกันเดือดร้อนเพราะทำมาค้าขายไม่ได้
ของบางอย่างก็ต้องปรับขึ้นราคา ส่งผลไปถึงปากท้องคนไทยที่จะต้องซื้อของกินของใช้ในราคาที่สูงขึ้น
ราคาข้าวของใช้ในประเทศนี้ก็เป็นเหมือนโดมิโน
หากมีของอย่างหนึ่งมีการขึ้นราคาก็จะมีของบางประเภทที่จำเป็นต้องขึ้นราคาตามไปด้วย
ราคาข้าวของที่แพงขึ้นนี้ไม่ได้ทำให้เงินเดือนขึ้นตาม
หนำซ้ำเศรษฐกิจที่ไม่ดีแบบนี้ก็พาลทำให้อัตราการว่างงานมีเพิ่มมากขึ้น
นักศึกษาที่จบงานมาใหม่ๆ ก็มีโอกาสหางานทำได้ยากเพราะอัตราจ้างงานที่น้อยลง
เพราะฉะนั้นการเมืองจึงไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัว
เพราะเมื่อระบบการปกครองในประเทศเกิดแย่หรือหยุดชะงัก เศรษฐกิจก็พลอยแย่ลงไปด้วย
ส่งผลโดยตรงกับปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคน
จะมีความเป็นอยู่ที่ดีหรือไม่
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น