วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Chapter 3 : บาปบริสุทธิ์



บาปบริสุทธิ์

อธิบดีกรมพินิจฯ เผยสถิติ 3 ปีย้อนหลัง ไม่เคยโอนคดีเยาวชนไปศาลผู้ใหญ่ วอนสังคมอย่าตัดสินเด็กเพียงขาว-ดำ อ.ด้านจิตวิทยาชี้วุฒิภาวะสำคัญเช่นเดียวกับสิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมเยาวชน

            ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในโลกออนไลน์ต่างสาดคำวิจารณ์เชิงลบใส่ 4 โจ๋พัทลุง ที่ก่อเหตุร้ายราวกับบ้านเมืองนี้ไม่มีขื่อไม่มีแป ทั้งพฤติกรรมที่ผู้ต้องหาแสดงออกยังดูเหมือนว่าไม่เกรงกลัวบทลงโทษเอาเสียเลย จนทำให้หลายคนออกมาเรียกร้องโทษของเยาวชนในคดีข่มขืนให้หนักขึ้น อย่างที่เยาวชนผู้ทำผิดควรเกรงกลัว
            
            เป็นเพราะกฎหมายอาญาสำหรับเด็กและเยาวชน ระบุไว้ว่า เด็กอายุ 15 ปี ไม่เกิน 18 ปี กระทำความผิด  กฎหมายถือว่ามีความรู้สึกผิดชอบตามสมควรแล้ว แต่ก็ไม่อาจถือว่ามีความรู้สึก ผิดชอบอย่างเต็มที่ เช่น กรณีผู้ใหญ่กระทำความผิด กฎหมายจึงเปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลพินิจได้ โดยศาลที่พิจารณาคดีอาจเลือกลงโทษทางอาญาแก่เด็กนั้นเช่นเดียวกับกรณีคนทั่วไป แต่ให้ลดโทษลงกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ก่อน
            
           ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวฯ พ.ศ.2534 มาตรา 61 ระบุไว้ว่า ในกรณีที่ผู้กระทำผิดอายุไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์กระทำผิดและอยู่ในอำนาจของศาลธรรมดา ถ้าศาลนั้นพิจารณาโดยคำนึงถึงร่างกายสติปัญญาสุขภาพภาวะแห่งจิตวิสัย เห็นว่าบุคคลดังกล่าวนั้นมีสภาพเช่นเดียวกับเด็กหรือเยาวชน ให้ศาลมีอำนาจโอนคดีไปพิจารณาที่ศาลเยาวชนและครอบครัวที่มีอำนาจและให้ถือว่าบุคคลนั้นเป็นเด็กหรือเยาวชน

           ด้วยเหตุที่กฎหมายไทยยังดูอ่อน(ในสายตาของหลายคน)ต่อการกระทำผิดเยาวชนอยู่เช่นนี้ จึงไม่อาจเลี่ยงกระแสสังคมที่มาพร้อมกับการเรียกร้อง คดีฆ่าข่มขืน ห้ามอภัยโทษ ที่นับว่าทวีความเข้มข้นขึ้นทุกวันๆ

           จริงๆ แล้วประเด็นที่สังคมเรียกร้องอย่างเรื่องคดีข่มขืนมีการถกเถียงกันมานาน โดยในส่วนของข้อเรียกร้อง คดีฆ่าข่มขืน ห้ามอภัยโทษ มีองค์กรทำดีของ บุ๋ม ปนัดดา วงษ์ผู้ดี เป็นผู้ถือไม้พายหลักของเรือลำนี้ โดยดร.บุ๋มได้กล่าวว่า เรื่องคดีข่มขืนการเรียกร้องของสังคมถึงเป็นสิ่งสำคัญ แม้ไม่เกิดขึ้นจริงตามที่หวังให้ แต่ผู้ที่จะกระทำความผิดต้องมีการหยุดคิดที่จะกระทำสิ่งที่ไม่ดีได้บ้าง เพราะต้องเกรงกลัวโทษที่หนักขึ้นกว่าเดิมมาก
           
         “นี่ก็เป็นคุยกันนานแล้ว ผู้หญิงต้องปกป้องตัวเองยังแทนที่สอนสังคมว่าผช.ไม่ควรทำ การที่ทำเป็นแค่เพื่อเกิดกระแสในสังคม เพื่อหาทางแก้ร่วมกัน รับฟังความเห็นคนอื่น ดร.บุ๋มกล่าว
            
            ในขณะที่ครูยุ่น หรือมนตรี สินทวิชัย เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ก็ได้ความเห็นในมุมมองที่ว่าอย่าตัดสินเด็กเป็นขาว-ดำ ให้มองไปที่สาเหตุหลักและบางทีการเพิ่มโทษก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด เพราะบางทีอาจทำให้เกิดคดีที่ร้ายแรงกว่าเดิมได้
            
          “ถ้าคดีเรื่องเพศไม่ให้ลดโทษ มันก็ต้องไปแก้กฎหมายกันอีก เพราะคดีที่มันโหดร้ายก็ไม่ต้องให้อภัยเหมือนกัน เงื่อนไขมันมีตามขั้นตอนกระบวนการ ประเด็นมันอยู่ที่เราจะมีการป้องกันระวังยังไง ครูยุ่นกล่าว
            
            โดยนายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ อธิการบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เผยว่า การโอนคดีเยาวชนจึงไม่ได้อยู่ที่การเป็นอาชญากรรมรุนแรง แต่ดูว่ามีวุฒิภาวะเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งต้องวิเคราะห์เป็นรายคน เพราะแม้จะเป็นผู้กระทำผิดคดีเดียวกันแต่ไม่ได้หมายความว่าหากโอนคดีแล้วต้องโอนไปทุกคน ย้ำว่าขั้นตอนทางจิตวิทยาสามารถประเมินได้ ซึ่งจากสถิติ 3 ปีย้อนหลัง ไม่มีประวัติการโอนคดีเยาวชนไปศาลผู้ใหญ่
            
            จากการมองเหรียญทั้งสองด้านแล้ว ในมุมของผู้เขียนคิดว่า ศาลพร้อมจะเปิดพื้นที่ในสังคมให้กับผู้ต้องหาที่กระทำผิด ในขณะที่เหยื่อแทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้ยืน ยิ่งกับเหยื่อที่กลายเป็นร่างไร้วิญญาณแล้ว ยิ่งไร้หนทางในการเรียกร้องความยุติธรรม

            ยิ่งตอกย้ำคำพูดที่ว่า 'เสียงของเหยื่อไม่สามารถร้องขออะไรได้ แต่คำสารภาพของผู้ต้องหาสามารถต่อชีวิตผู้ต้องหาได้' ที่มีมากในสังคมไทยเสียเหลือเกิน


           


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น