
ปัญหาของการแก้ปัญหา
‘เป็นองค์การมาตรฐานที่เป็นผู้นำด้านการพิทักษ์เยาวชนและคืนเด็กดีสู่สังคม’
ประโยคข้างต้นคือวิสัยทัศน์ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
อันมีบทบาทสำคัญในการป้องกัน บำบัด แก้ไข ฟื้นฟู พัฒนาและสงเคราะห์และติดตามประเมินผลของเด็กและเยาวชนผู้กระทำผิดทางกฎหมาย
เพื่อให้กลับมาเป็นเยาวชนที่ดีของสังคมต่อไป
ลักษณะงานสังคมสงเคราะห์ของสถานพินิจฯ
จะให้ความสำคัญในด้านของการศึกษาและทำความเข้าใจสภาพจิตใจของเยาวชน
เพื่อให้นำไปสู่มาฟื้นฟูทางจิตใจที่มีประสิทธิภาพที่สุด
แต่เรื่องนี้กลับไม่ง่ายเช่นนั้น เมื่อการปฏิบัติงานมีปัญหา
จากตัวเลขกว่าหลายพันกว่าคดีเด็กและเยาวชนที่เป็นการกระทำผิดซ้ำเมื่อเปรียบเทียบกับคดีที่ถูกดำเนินคดีโดยสถานพินิจฯ
ทั่วประเทศ โดยในปี 2556 มีคดีกระทำผิดซ้ำกว่า 7,490 คดี
เช่นเดียวกับคำยืนยันของกลุ่มเด็กและเยาวชน
จำนวน 25 คนที่อยู่ในความดูแลของสถานพินิจฯ
จ.อุบลราชธานี พบว่าส่วนใหญ่รู้สึกขาดอิสระทั้งทางความคิดและการกระทำ
อุปกรณ์การเรียนการสอนไม่เพียงพอ เมื่อเจ็บป่วยไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควร
ส่วนการดูแลด้านจิตใจนั้นเด็กและเยาวชนรับรู้ว่าครูหรือเจ้าหน้าที่บางส่วนไม่เข้าใจในความรู้สึกของพวกเขาอย่างแท้จริง
มักจะใช้อารมณ์ในการตัดสินลงโทษ ขาดเหตุผล ใช้คำพูดไม่สุภาพ ตำหนิ และตอกย้ำความผิดของพวกเขาอยู่เสมอ
นับเป็นเสียงสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ
และเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีความจริงใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ จนทำให้การบำบัดจิตใจไม่เป็นไปตามแผน
“บ้านกาญจนาภิเษกขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเยาวชนได้เกือบเต็มร้อย
เว้นแต่คนที่มีความผิดปกติทางจิต ประเทศไทยจึงควรปรับใช้กระบวนการบำบัดฟื้นฟูเด็กอย่างบ้านนี้ให้มาก” นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ประธานมูลนิธิศูนย์พิทักษ์เด็กกล่าว
โดยบ้านกาญจนาภิเษกมีวิธีการบำบัดเยาวชนโดยอาศัยหลักการที่ว่า
‘บ้านกาญจนาภิเษกคือ บ้านทดแทนชั่วคราวของวัยรุ่นที่ก้าวผิดจังหวะหรือก้าวพลาด’ โดยเน้นรักษาจิตวิญญาณของเยาวชนเป็นหลัก
การบำบัดแบบไม่ใช้ความรุนแรง รวมถึงทำให้เยาวชนที่ทำผิดเห็นถึงคุณค่าของตน
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสันทนาการต่างๆ
โดยจัดเป็นตารางการเรียนและการทำกิจกรรมในแต่ละวันให้กับเยาวชน และมีการสอนทักษะชีวิตแก่เยาวชน
แบ่งเป็น วิชาชีวิต 50% เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเยาวชน
วิชาสามัญ 25% และวิชาชีพอีก 25% เพื่อให้เยาวชนมีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพในอนาคต
แม้ทั้งสองหน่วยงานจะมีจุดประสงค์เดียวกัน
แต่ยากที่จะปฏิเสธว่าวิธีการทำให้เป้าประสงค์บรรลุมีความต่างกันในเชิงปฏิบัติอยู่มาก
ความสำคัญของการแก้ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า หากเชื่อว่าไม่มีเด็กคนใดเป็นสีดำ
ผู้ใหญ่ก็ไม่ควรแต้มสีทับลงไปอีก เพราะยิ่งคล้ายกับเป็นการผูกปมปัญหาให้แน่นขึ้น
จนในที่สุด ปมนั้นก็กลายเป็นปัญหาที่ผู้แก้ปมไม่อาจแก้ได้สักที..
จนในที่สุด ปมนั้นก็กลายเป็นปัญหาที่ผู้แก้ปมไม่อาจแก้ได้สักที..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น